แง่คิดดีๆแก่น้องๆที่อยากPromote Sharing from พี่ไฮ้(Credit Pharm connection)
PC : สวัสดีครับ พี่ๆน้องๆทุกท่านครับ หลังจากที่รอบที่แล้วเราคุยกับพี่ขีดไว้นะครับ วันนี้ไม่น้อยหน้ากัน มาพบกับ พี่ไฮ้ ภก.วิรัตน์ โชติปฏิเวชกุล ที่จะมาแชร์ประสบการณ์ รวม ทั้งแง่คิดดีๆแก่น้องๆที่อยากPromoteนะครับ เมื่อน้องๆ ทำงานได้สักระยะ หลายๆคน คงอยากเติบโต Promote เป็น Manager ในมุมมองพี่ไฮ้ มีข้อแนะนำกับน้องๆว่าทำอย่างไร จึงจะเข้าตา เดินเข้ารอบ รอรับการ Promote อย่างภาคภูมิใจ ครับ
พี่ไฮ้ : ในกรณี นี้ พี่ขอแบ่งการ Promote เป็น 2 แบบก่อน นะครับ แบบแรก External Promote
คือการที่น้อง walk in หรือ มี การทาบทาม จาก พี่ๆ Head Hunter ซึ่งกรณีนี้น้องคงต้องแสดงศักยภาพ แข่งกับ Candidate คนอื่นๆ เพื่อให้ตรงกับ Qualification ที่ ทางทีมได้ตั้งเอาไว้
หลักๆ ก็คงเป็นเรื่องของ อายุ , อายุการทำงาน วุฒิ การศึกษา และ ภาษา ขึ้นกับสาย Sales หรือ
สาย Marketing ซึ่งก็จะกำหนดคุณสมบัติแตกต่างกันไป คุณสมบัติ ต่างๆ คงคล้ายๆ กับ ที่พี่ขีด
ได้แนะ เอาไว้ ซึ่งตามปกติ Manager ของแต่ละทีม ก็มักจะมองและCoachลูกทีมไปในทางที่แต่ละคนฉายแววออกมาอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับน้องว่ามองตัวเองอย่างไร ชอบเดินทาง ออกไปลุยตลาด เจรจาต่อรอง ชอบทำงานกับผู้คน สร้าง connection ก็คงมาทาง Sales Manager หรือชอบวางแผน ประสานงาน follow ตาม Plan , ชอบอ่าน ชอบค้นคว้า Paper สอนหนังสือ ทำ Presentation
ก็เป็น Product Manager ชัดเจน
คราวนี้เมื่อคิดว่าตัวเองพร้อมแต่โอกาสPromote ในทีมเดิมยังไม่เอื้ออยากPromoteเร็วกว่านั้น
ก็จำเป็นที่เราจะต้องแยกย้ายไปเติบโต ตามวิธีการข้างต้น
ส่วนในการ Promoteแบบ Internal Promote ซึ่งตามปกติแล้ว Managerเอง
ก็อยากPromoteคนในทีม ด้วยเหตุผลเรื่อง Career path ของลูกทีมจะได้ทำงานแบบรู้มือกัน
เราก็จะมองและให้โอกาสลูกทีมของเราก่อนอันนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่น้องๆ ที่มีศักยภาพจริง
หรือพัฒนาได้สมควรได้สิทธิ์นั้น
แต่ก่อนที่จะหาทาง Promote ไปเป็นManagerน้องควรทำความเข้าใจบทบาทและหน้าที่ Manager
ให้ดีเสียก่อน ลองสังเกตรูปแบบงานที่เราสนใจว่าใช่แนวทางของเราจริงๆหรือไม่
สิ่งที่ Managerมองเรานั้นนอกจากเรื่องยอดขายที่มาเป็นอันดับต้นๆแล้ว
เรื่องของภาษา วินัย ความซื่อสัตย์ การรู้จักวางแผนการทำงาน กล้าคิด กล้าถาม พูดเป็น ฟังเป็น
ความตรงต่อเวลา และรับผิดชอบต่องานที่ มอบหมาย ก็เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้
เพราะเหล่านี้คือทักษะเบื้องต้นนักขายอยู่แล้ว
แต่ที่จะทำให้น้องมีคะแนนจิตพิสัยเพิ่ม คือ
1. ต้องมีความเป็นผู้นำ
2. Presentation Skill ควรจะดีพูดจาฟังรู้เรื่องอธิบายแล้วคนเข้าใจ
3. สำคัญที่สุด Attitude ทัศนคติ จะบอกตัวตนของน้องได้เป็นอย่างดี มุมมองที่น้องมองงาน
Manager เป็นอย่างไร มันจะสะท้อนตัวน้องตอนมาเป็น Manager ได้เป็นอย่างดี
ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญทัศนคติที่ดีจะทำให้น้องมองสถานการณ์ได้นิ่ง ควบคุมอารมณ์ได้ดี
ในการจัดเรียงงานตาม Priority การประสานงานผู้คน และที่สำคัญมากการได้ลองทำ หรือ
เรียนรู้งานบางส่วนของManagerจะทำให้น้องเตรียมรับไว้เลยว่างานManagerนั้นหนักหนากว่า
ที่น้องๆมองเห็นน้องสามารถแบกรับ Pressure ต่างๆ เหล่านั้นได้ไหม
PC : ในมุมมองพี่ไฮ้มองว่า คนที่จะขึ้นมาเป็น Managerมีข้ออะไรที่ควรคิดก่อนก้าวขึ้นมาครับ
พี่ไฮ้ : หลายๆครั้ง ที่มีการ Promote คนที่ ยังไม่พร้อม นั่นคือการที่เสียผู้แทนดีๆ ไป1 คน
และได้Managerแย่ๆ มา 1 คน ดังนั้นในระหว่างที่น้องกำลังทบทวนทิศทางตัวเองว่า
จะไปทางไหนต่อ ถามตัวเองด้วยนะครับว่าพร้อมหรือยัง ที่จะต้องเพิ่มความรับผิดชอบ
พร้อมหรือยังที่จะอุทิศเวลา และ ความสุขตัวเอง เพื่อดูแลลูกทีมพร้อมหรือยังสำหรับงานหนัก
และ อะไรอีกหลายอย่างที่มาพร้อมกับคำว่าหน้าที่ ถ้า น้องมีคำตอบกับตัวเองว่าพร้อม
พี่ขอต้อนรับเข้าสู่โลกใหม่ในฐานะ Manager อีกคนครับ
Welcome to Manager World
PC : ขอบคุณพี่ไฮ้มากๆนะครับ ที่มาช่วยให้ข้อคิดดีๆกับน้องๆที่อยากจะPromoteนะครับ
จะเห็นว่าแค่ขายดี อยู่มานาน ไม่ได้แปลว่าจะได้Promoteเสมอไปนะครับ
เพราะบางคนขายเก่งจนหัวหน้าไม่อยากPromoteเพราะ หัวหน้าจะเสียSaleดีๆไป 1 คน
แต่อาจจะได้ Manager บ้าพลังมาอีกคน
อีกอย่างที่ฝากไว้นะครับ Manager ที่เก่งจริงๆคือคนที่เป็นคนที่บริหารจัดการทีมได้ดี
ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว Manager ไม่ใช่ Super sale นะครับ
เพราะถ้าคุณสอนงานลูกน้องไม่ได้ คุณก็จะเหนื่อยกับการทำทุกอย่างให้ลูกน้องดูและทำตาม
สุดท้ายคุณก็จะเหนื่อย และ ที่ตามมาคือ Attitudeคุณก็จะแย่ลง
สุดท้ายWork life balance ก็ไม่ดี ทุกอย่างก็ดูจะแย่ไปหมดครับ
แล้วพบกันใหม่กับ Tipsดีๆจากพี่ๆในวงการนะครับ ขอบคุณครับ
ภก.ภูริทัต ว่องพุฒิพงศ์
Admin กลุ่มผู้แทนและเวชภัณฑ์
เรียบเรียง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น