Sharing from พี่บอย (Credit Pharm Connection)
PC : สวัสดี เพื่อนๆพี่ๆทุกท่านนะครับ ฤกษ์งามยามดีหลังจากหยุดยาวมานาน วันนี้หลังจาก Admin สลัดตัวขี้เกียจออกจากร่างกายไปเรียบร้อย วันนี้เรามานั่งคุยกับ ผู้บริหารของบริษัทยาท่านนึงที่มีประวัติและเรื่องราวน่าสนใจมากนะครับคือ พี่บอย เกียรติวุฒิ แซ่โค้ว ที่บอกว่าน่าสนใจเพราะว่า พี่บอย จบจาก คณะวิทยาศาสตร์ เริ่มต้นจาก อยู่นอกวงการ เข้าวงการยามาด้วยมุมมองแบบนึง ไต่เต้าจาก Saleขายอุปกรณ์ Computer ก้าวเข้าสู่วงการด้วยการเป็นผู้แทนเครื่องมือแพทย์ในบริษัทเล็กๆ จนปัจจุบันนี้ เป็นตำแหน่งผู้บริหารบริษัทยาข้ามชาติ เส้นทางของการเติบโตที่รวดเร็วมากจาก MR -> SM -> NSM ->Strategic Account Manager ภายในเวลาไม่กี่ปี เรามาดูมุมมองและแนวทางในการทำงานของพี่บอยกันดีกว่าครับ
PC : ก่อนเป็นผู้แทนยา ทำอะไรมาบ้าง?
พี่บอย : ย้อนกลับไปวันนั้นถึงวันนี้ก่อนมาเข้าวงการยาก็ 16 ปีแล้วนะครับตั้งแต่ปี 2542 รู้สึกนานมากครับ ย้อนไปค่อนข้างไกลก่อนเข้ามาเป็นผู้แทนยาครั้งแรกนึกนานมาก...
ผมเรียนจบป.ตรี ตอนปี 2540 ซึ่งถ้าใครจำได้เป็นปีที่ดีมากครับ ได้เรียนรู้เยอะมากเลย เพราะเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจจนหลายบริษัทในทุกๆวงการต้องปิดตัวไป รวมถึงพนักงานหลายคนต้องลุ้นทุกวันว่าจะโดนให้ออกมั้ย เรียกได้ว่าตื่นเต้นกันตลอดเวลา แต่ก็ดีครับที่ผ่าน มาได้ตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มทำงาน ขนาดเราคิดว่าเราแข็งแกร่งพอเพราะเราสมัยเรียนป.ตรี ก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยยังหวั่นไหวบ้างเวลาซองขาวๆมาจากท่านประธาน
ก่อนเข้าวงการ 2 ปี เป็น Sales อยู่ 2 บริษัทเล็กๆครับ งานที่แรกก็ขายเกี่ยวกับอุปกรณ์ electronic พวก Scanner ,Digital camera ได้เดินพันธุ์ทิพย์เกือบทุกวันเลยครับ งานที่สองก็ขายเครื่องมือแพทย์ครับพวก Suture(ไหมเย็บแผล) ผ้าซับเลือดผ่าตัด ประมาณนั้นครับ สนุกดีครับ ทำงานแบบลุยๆ ระบบครอบครัว มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางครั้งเปลี่ยนจนปรับตัวแทบไม่ทัน
ช่วง 2 ปีนั้นทำให้เรียนรู้เลยว่า ถ้าเราจะรักษาเก้าอี้หรือตำแหน่งของตัวเราเองให้ได้จะต้องมี
3 ศักยภาพหลักๆคือ:
1) High Performance
2) High Value
3) High Competency
เราถึงจะมีชีวิตรอดในทุกวิกฤตครับ ส่วน concept ชีวิตในช่วงเวลา 2 ปีนั้นคือ “ให้เราทำงานมากแค่ไหนก็ได้ เราจะสู้ ขอแค่รายได้ที่เพิ่มขึ้น เพราะเราอยากสร้างตัวเองให้กับครอบครัว”
PC: มุมมองต่อวงการยาก่อนเข้าวงการ?
พี่บอย : พูดตรงๆเลยนะครับ ที่มองเห็นวงการนี้ครั้งแรกเลยคือเรื่อง รายได้ หรือ เงิน ครับ เพราะก่อนหน้านั้น ไม่รู้จักวงการนี้เลย สมัยเรียนจบแรกๆ รู้แค่พี่ที่สนิทกันคนนึงเค้าจบวิทย์ Biology (ผู้มีพระคุณ No.1) หลังจากเค้าเรียนจบก็ได้เป็นผู้แทนยาเลย และมีรายได้ดีมากๆ มีรถขับ ได้เที่ยวต่างจังหวัดมากมาย ดูสนุกสนาน มีเพื่อนดีๆเยอะแยะ แต่ตอนนั้นเองผมก็ยังไม่ได้สนใจครับ เพราะเราไม่ได้จบมาทางนี้ ที่สำคัญพี่เค้าเก่งมาก ตั้งแต่สมัยเรียนเป็นถึงประธานรับน้องคณะวิทยาศาสตร์ จริงๆแล้วตอนมองเข้ามาตอนนั้นเราเห็นแค่มิติเดียวเลยครับคือเรื่อง รายได้ที่สูงมาก และก็คิดว่าสักครั้งถ้ามีโอกาสและพร้อมก็อยากจะลองเข้ามาท้าทายบ้าง สุดท้ายก็ได้เข้ามาจริงๆหลังจาก เร่ร่อน มา 2 ปี ถึงรู้ว่า ถ้าเราคิดว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้ครับ
PC: ตอนแรกสัมภาษณ์บริษัทยา กี่ครั้ง? ยากมั้ย? การตอบคำถามเป็นอย่างไรบ้าง?
พี่บอย : ต้องบอกความจริงนะครับ ทำงานมา 5 บริษัท สัมภาษณ์ครั้งเดียว ทุกที่เลยครับ
แต่ขอเล่าเฉพาะวันที่สัมภาษณ์เข้าวงการยาครั้งแรกครับ เพราะครั้งนั้นเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของชีวิตจริงๆครับ และเป็นครั้งที่ตื่นเต้นที่สุดครับ
วันนั้นเป็นวันที่ผู้มีพระคุณ No.1 โทรมาชวนไปทำงานที่เดียวกัน พอดีมีเขตต่างจังหวัดว่าง พี่เค้าถามสั้นมากว่า สนใจมั้ย? ถ้าสนใจพรุ่งนี้พี่จะนัดมาสัมภาษณ์กับ Sales Director พี่เลย ตอนนั้นคิดว่าไม่ควรถามมากครับ โอกาสมาแล้ว กลัวพี่เค้าเปลี่ยนใจ ตอบ Yes ไปเลยครับ เค้าบอกพรุ่งนี้บ่ายโมงมาสัมภาษณ์เลย!!
พอวางสายคิดหนักครับ เกิดคำถาม 108 คำถาม เพราะเรามีสิ่งที่ไม่รู้เยอะครับทั้ง เนื้องาน ลูกค้า สินค้า การเดินทาง เพื่อนในวงการ ฯลฯ คิดอย่างเดียวว่าจะรอดได้ต้องมี Consultant ตัดสินใจโทรปรึกษาพี่เค้า และเตรียมตัวคืนนั้นเลยครับ แทบไม่ได้นอนแต่มั่นใจครับ โดยใช้ Concept ต่างๆตามนี้เลยครับ
Interview Tips :
1) รู้เขารู้เรา : รู้ว่าเขาต้องการอะไร ต้องการคนทำงานแบบไหน รู้ว่าเราจะทำอะไรให้เค้าได้มากกว่า
2) รู้ตัวเอง : รู้ว่าเราเป็นคนอย่างไรเหมาะกับงานแบบไหน ตัวตนคืออะไร มีความพิเศษอย่างไร ทักษะต่างๆ
3) พูดความจริง : พูดในสิ่งที่เป็นไปได้ เป็นจริง จับต้องได้ วัดผลได้ ทำได้จริง ชัดเจน
4) แตกต่าง : Idea ใหม่ๆ ความคิดสร้างสรรค์ ต่างจากคู่แข่ง
PC : ด้วยความที่เราไม่ใช่ เภสัชกร ทางผู้สัมภาษณ์ได้ถามคำถามอะไรที่คิดว่าตอบยาก (ณ.ตอนนั้น) ไหมครับ
พี่บอย : ตอนสัมภาษณ์จริงด้วยความที่ผมไม่ใช่เภสัชกร และไม่เคยมีประสบการณ์ในวงการเลย เจอคำถามเด็ด คำถามนึง จำได้ถึงวันนี้ ลองอ่านดูแล้วนึกก่อนนะครับว่าจะตอบว่าอะไร?
Sales Director ถาม: ทำไมผมต้องรับคุณทั้งๆที่คุณไม่ใช่เภสัช จบวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์ซึ่งเป็นสาขาไม่ตรงกับที่เราต้องการ บริษัทนี้ผู้แทนยามากกว่า 90% เป็นเภสัชกร และคุณก็ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้เลย แล้วคุณคิดว่าคุณจะทำงานประสบความสำเร็จสู้เภสัชกรได้หรือไม่?
Answer : ผมตอบตรงๆครับ ถ้าเทียบกันวันนี้เวลานี้ ผมคิดว่าผมสู้ไม่ได้ครับ เพราะเภสัชกรเรียนมาทางสายนี้มากกว่า 5 ปีความรู้ดีกว่าแน่นอนครับ แถมยังมีประสบการณ์ตรง และยังมี connection ในวงการมากมาย แต่สิ่งนึงที่ผมคิดก่อนจะมาสัมภาษณ์ที่นี่ผมคิดเสมอว่า ทุกครั้งที่โอกาสเข้าหาเรา เราจะต้องคว้าไว้และทำให้ดีที่สุด ดังเช่นในอดีตทั้ง 2 บริษัทที่ผ่านมา เราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าถ้าเราตั้งใจที่จะเรียนรู้ เราจะต้องมีช่วงเวลาที่ลำบากมากๆก็ที่จะต้องเรียนรู้และทำให้ได้ ต้องทุ่มเทและพยายาม มากกว่าคนที่เค้ามีความรู้และความสามารถอยู่ก่อนแล้ว พอถึงวันนึงเราก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่า เราก็สามารถทำงานในวงการนี้ได้และมีผลงานที่ดีไม่ต่างกัน ส่วนความรู้ต้องยอมรับครับว่าเภสัชกรย่อมเหนือกว่าเสมอครับ
ผมมองว่าความสำคัญในการประสบความสำเร็จในทุกธุรกิจได้ จะต้องเป็นองค์ประกอบที่ผสมผสานกันตามแต่สถานการณ์ ประกอบด้วย ความรู้ความสามารถ ความคิด เพื่อนร่วมงาน การอบรม ลูกค้า ประสบการณ์ และอื่นๆอีกมากมาย อยู่ที่ ณ สถานการณ์นั้นเราจะดึงเอาส่วนไหนมาผสมกันเพื่อทำให้ประสบความสำเร็จครับ
PC : หลังจากเข้ามาทำงานในวงการมีมุมมองต่างจากที่คิดไว้ก่อนหน้า อย่างไร บ้างครับ
พี่บอย : ต่างมากครับ แต่ก็ทำให้โตเร็วมากครับ เพราะวงการนี้สุดยอดเลยครับ พอเข้ามาแล้วไม่ง่ายอย่างที่คิด ทุกๆคนเก่งมาก ทั้งในบริษัทและนอกบริษัท มีการแข่งขันสูงมาก แถมผู้บริหารทุกๆบริษัทเน้นเรื่อง Result มากๆครับ ถ้าจะรอดไปได้ต้องมี High performance , High Value และ High Competency เหมือน 2 ปีที่ผ่านมา โชคดีหน่อยครับที่ก่อนเข้าวงการยาไปเจอวิกฤตมา 2 ปี ทำให้พอสู้รบได้แต่ต้องงัดทุกๆประสบการณ์จากช่วงนั้นมาใช้ ถือว่าใช้ทุกวิชาที่มีเพื่อสร้างให้ตัวเอง เพื่อให้ประสบความสำเร็จ แต่สำคัญสำหรับวงการนี้นั้นในการทำงานจะสำเร็จได้นั้น ไม่สามารถทำคนเดียวได้ ไม่สามารถรอดได้เพียงคนเดียว ทุกส่วนและทุกฝ่ายจะต้องทำงานประกอบกันเรียกว่า Teamwork ดังนั้นทุกๆครั้งที่ทำงานเราจะต้องสร้าง TRUST ระหว่างกัน เพื่อให้ประสบความสำเร็จไปด้วยกัน ยอมรับจริงๆเลยครับว่าเหนื่อยและหนักกว่าที่คิดไว้ แต่ก็ถือว่า แลกกับรายได้และประสบการณ์ที่ได้รับกลับมาก็ถือว่าคุ้มครับ
PC : ถามพี่บอยนะครับว่า ส่วนตัวพี่บอยมองอนาคตในวงการยาของตัวเองไว้อย่างไรครับ
พี่บอย : ถ้าถามว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรก็มีวางๆไว้อยู่นะครับ แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับ โอกาส และความพร้อมของตัวเราเอง ดังนั้นที่สำคัญคือ เราจะต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาเมื่อโอกาสมาถึงจะได้ไม่เสียใจ ผมมีพี่เภสัชกรอาวุโสท่านหนึ่งสอนเสมอว่า จงเตรียมตัวเองให้พร้อมเสมอเมื่อ มังกรมาถึงหน้าบ้าน จะได้มีค่าพอจะขี่มังกร เป็นปรัชญาจีน ที่ให้ความคิดดีมากๆนะครับ ดังนั้นอนาคตที่วางไว้ในอีก 3 - 5 – 10 ปี มีวางไว้แล้วครับในวงการนี้ หรือนอกวงการก็ขึ้นอยู่กับโอกาสและความสามารถในขณะนั้น ผมระลึกเสมอในคำสอนของพี่ที่นับถือทุกคน จงขึ้นเมื่อพร้อมจะสง่าผ่าเผย และอยู่อย่างยั้งยืนยง สำคัญที่สุดในการโปรโมตแต่ละครั้งจะต้องได้รับการสนับสุนจากทุกๆฝ่าย อย่างที่เค้าเรียกว่า ข้างบนดึงข้างล่างดัน ข้างๆสนับสนุน จะเติบโตอย่างมั่นคงครับ
PC : ก่อนจากกันวันนี้ พี่บอยมีอะไรฝากน้องๆที่ไม่จบ เภสัช และ อยากเข้าวงการยาบ้างครับ
พี่บอย : สุดท้ายนี้ จากประสบการณ์การเดินทางมาในวงการมากว่า 16 ปี ปัจจุบันนี้ผมถือว่าผมมาได้เกินคาดมากแล้วครับ วงการนี้ทำให้ผมมีทุกอย่างที่หวัง ทั้งสร้างอนาคตที่ดี ฐานะครอบครัวที่มั่นคง สังคมที่ดี เพื่อนที่ดี และงานสนุกๆ มันคือชีวิตจริงครับบางอย่างก็เป็นดังหวังบางอย่างก็ไม่เป็นดังหวัง แต่พอมารวมกันถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่ดีมากครับ บางครั้งงานอาจจะเยอะ งานอาจจะหนัก ปัญหาอาจจะมากมาย แต่ผมเชื่อว่าไม่ว่าเราทำงานอะไรเราก็จะเจอปัญหาในแบบเดียวกัน อยู่ที่การคิดของเราครับ ถ้าเราคิดว่าเราจะผ่านมันไปได้เราก็จะผ่านไปได้ครับ ในทุกๆวิธีทางของการแก้ปัญหา เมื่อเราชนะมันได้ สิ่งนึงที่จะอยู่กับเราตลอดไปคือ ความภูมิใจที่ได้ประสบความสำเร็จกับงานครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น